วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

~ มวลบุปผา ~


ดอกราตรี คลี่บาน ส่งมาลย์หอม
พวงพยอม พร้อมเพรียง เคียงประสาน
ชวนถวิล กลิ่นกรุ่น อุ่นดวงมาน
จรุงหว่าน มาลย์ฉาย กำจายฉม

บุหงาคลุ้ง ปรุงแต้ม แซมราตรี
ลีลาวดี คลี่บาน ร่วงลานถม
ยังโชยชื่น รื่นริ้ว พัดพริ้วพรม
ให้ดอมดม รมย์เริง บรรเทิงกาล

ลำดวนดง ส่งกลิ่น ประทิ่นหมาย
เคล้ากำจาย กระดังงา มาประสาน
อวลไออุ่น กรุ่นเร้า เย้าดวงมาน
ริมเรือนชาน สาวกอด พรอดรักเรา ฯ

~* ปุถุชนฯ *~

~ ฟ้าไกล ใจชิด ~


มองฟ้าไกล ใจห่วง สุดหน่วงหนัก
มอบใจรัก ลอยผ่าน ม่านฟ้าใส
สนธยา ราตรี จงรี่ไป
สู่หัวใจ อีกดวง ควงคู่กัน

กล่อมเวลา ฟ้าหม่น ฝนรินหลั่ง
เป็นพลัง เคียงข้าง ร่วมสร้างฝัน
ทางที่เดิน เหินห่าง ร้างไกลกัน
แต่ผูกพัน มั่นอยู่ มิรู้คลาย ฯ

~* ปุถุชนฯ *~

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

~ ยิ่งห่วงใย ~

ยิ่งห่วงใยเหลือล้นท้นทวี
รู้คนดีหมองเศร้าเหงาหม่นแสน
อยากจะซับรับช้ำระกำแทน
ถ้าหากแม้นทำได้หมายใจจอง

จะกล่อมขวัญคนไกลผู้ใจเจ็บ
และหนาวเน็บรานรนมานหม่นหมอง
หยุดเสียเถิดแก้วจ๋าน้ำตานอง
จะขอรองรับทุกช้ำที่กรำใจ

~ รอยช้ำ ที่ย้ำทรวง ~


ยามเดือนเด่น เร้นดาว หนาวน้ำค้าง
ที่พราวพร่าง กลางดื่น กับคืนเหงา
ลมโลมเล็ม เต็มแนว อย่างแผ่วเบา
ขาดเพียงเรา เคล้าเคียง ฟังเสียงคืน

ซอนซอกเซาะ เลาะรี่ วารีหลั่ง
เรื่องความหลัง ครั้งเก่า ทำเราฝืน
อยู่คนเดียว เปลี่ยวช้ำ ด้วยกล้ำกลืน
ต้องหยัดยืน ขืนอยู่ อดสูใจ

~ คืนหนาว ดาวเลือน ~

มองดวงเดือน เคลื่อนลา เวหาหน
หนาว,กมล ปนเหงา ใต้เงาหมอง
เดือนเรืองแสง แจ้งชม พอสมปอง
น้ำตานอง มองฟ้า ทอดอาลัย

ดาวก็งาม ตามแต้ม พอแซมเสียบ
ยามยะเยียบ เงียบเวิ้ง ระเริงไหว
ลมสะบัด พัดโยน อ่อนโอนใจ
ตามแรงไกว ไหลคว้าง อยู่กลางกาล

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

~ แอบ ~

แอบคิดถึงเธออยู่ห่างๆ
มองภาพ พลางๆ รักเหลือหลาย
ไม่กวน ไม่ยุ่ง ไม่วุ่นวาย
แม้เหงาเปล่าดายในกมล...

~ คาด ~

สิ่งที่คาด ไม่เคยผิด
สิ่งที่คิด ไม่เคยพลั้ง
สิ่งที่ครวญ ล้วนจีรัง
สักกี่ครั้ง ขอบ้าง ที่จะคาดคิด ผิด...ซักที

~ สักขีใจ ~

จูบเคียงจันทร์ ฝันเพ้อ ละเมอหา
รอเวลา ฟ้าแจ้ง ทอแสงใส
จักกอดเจ้า เคล้าเคียง อยู่เพียงใจ
ล่วงกาลไกล ใหลชื่น ร่วมรื่นรมย์

มโนหมาย คล้ายเรา พะเน้าแนบ
อยู่อิงแอบ แทบข้าง อย่างสุขสม
ร่วมชิดเชย เกยก่าย เคล้าสายลม
อยู่เคียงชม พรมรัก ประจักษ์ใจ

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

~ อ้อมแขนแห่งรัก ~


แม้เธออยู่ หนใด ในโลกนี้
รักที่มี ไม่สิ้น ถวิลหา
ยังยืนยง คงมั่น คำสัญญา
ด้วยสัจจา พาที ฤดีจินต์

หากแม้นหนาว ร้าวรน หมองหม่นล้า
แหงนมองฟ้า พาถึง คนึงถิ่น-
แดนแห่งรัก จักอยู่ คู่ยุพิน
คล้องดวงจินต์ สองใจ ให้เกี่ยวกัน

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

~ คำยืนยัน ~

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้
จะคอยอยู่เคียงข้างเธอ ทุกนาที
จะคอยอยู่ตรงนี้ แม้ถึงวันฉันสิ้นใจ...!!

~ มองตา ~

มองดูตาฉันนี้สิที่รัก
จงตระหนักลึกซึ้งถึงห่วงหา
และห่วงใยให้อยู่ทุกเวลา
มอบให้มาเหลือล้นแด่คนดี....เป็นห่วงนะ มากมายเลย !!

~ ครวญ ~

ไม่อยากรับรู้ แต่ต้องคอยติดตาม
ไม่อยากทวงถาม แต่ก็คอยห่วงหา
ไม่อยากคิดถึง แต่คนึงอยู่ทุกเวลา
ไม่อยากเหว่ว้า แต่อะไรกันหนา ครวญหาแต่เธอ ..!!

~ รอดาว ~


ดูสิดาว วาวงาม ท่ามท้องฟ้า
แต่เมฆา มาปน ให้หม่นหมอง
รอเจ้าเรือง แสงท้า ฟ้าคะนอง
หลังจากหมอง มองหม่น ด้วยทนทาน

คอยนะหลัง ฝนพรำ จงจำอวด
หลังร้าวรวด ร้อนรน ปนประสาน
ฟ้าจะแจ้ง แสงดา- ริกากาล
ด้วยห้าวหาญ ชาญท้า หลังปราชัย

หลับเถิดดวง หน่วงหนัก จงพักผ่อน
เหนื่อยและร้อน ร้าวรน ยังทนไหว
จะกล่อมเกลา ดาวล้า ผ่านฟ้าไกล
รอวันใจ เจ้าชื้น มาคืนเยือน ฯ

~* ปุถุชนฯ *~

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

~ มหาวาต - ภัย ~


มวลธารา ถั่งโถม โหมถล่ม
ทุกถิ่นจม ถมท่วม อ่วมเหลือหลาย
 ทั้งชีวิน สินทรัพย์ ลับละลาย
ล้วนเสียหาย สายน้ำ ซ้ำพัดพา

ทรชน ล้นหลาก ล้วนมากมี
เหตุอัปรีย์ จี้ปล้น จนผวา
พรากชีวิต ปลิดปลง ไม่สงกา
อนิจจา น่าอนาจ มันบาดใจ

~ พระปิยมหาราช ~

พระทรงปัก รักษา อาณาเขต
ถิ่นประเทศ แดนสยาม งามสวรรค์
ปลดเปลื้องทาส สร้างไทย เป็นไท,พลัน
แล้วสร้างสรรค์ บ้านเมือง ให้เรืองรอง

ชาติสยาม งามเลิศ ทั้งเพริศแพร้ว
พระทรงเป็น ดังแก้ว มณีผอง
ดล,สยาม อยู่ยั้ง เช่นดังปอง
เป็นผู้ป้อง ปกไทย ให้ยืนยง

ขอพระองค์ ทรงสันต์ สำราญเสพ
ณ แดนเทพ ทิพย์วิมาน สราญสรง
พระนามเรือง เนืองไกร พระทัยองค์
เมตตาทรง แผ่ปก พสกนิกร ฯ

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า

ปุถุชน ฅนธรรมดา

~ เอาคำพ้องเสียง มาเรียงเป็นกลอน ~

เพียงอยากเล่า เรื่องเร่า ในวงเหล้า
ถึงขั้นเค้า คั่นขวาง ให้หมางหมอง
หลับสนิท ปิดกรรณ เสียกันตรอง
จึงร่ำร้อง โศกศัลย์ สิ้นสันต์ใจ

จะร้องรำ ลำนำ ดังกรรมเก่า
ที่กำเอา กุมกอปร มากอบใส่
เมื่อหมายหมั้น หามั่น รังสรรค์ใด
ก็เพียงเท่า เถ้าไฟ ที่ไล่ลน

~ เพลิงกาฬ แห่ง ซาตาน ~

อยากจะเผา เร้าโศก ใส่โลกหล้า
ล้างโลกา ด้วยเพลิงกาฬ ผลาญมอดไหม
จมแผ่นพื้น ธรณี ด้วยแรงไฟ
ฉีกแผ่นฟ้า-น้ำให้ บรรลัยโรย

จมทั้งโลก สาบสุญ เป็นฝุ่นผง
รื้อป่าดง พงเขา เผาไห้โหย
เอาน้ำตา บ่าท่วม คีรีโดย-
ล้างให้โปรย ปลิวฟุ้ง เป็นทุ่งเพลิง

~ เพลงบทเก่า ~

ร้องบรรเลง เพลงบทเก่า เล่าความหมาย
เนื้อบรรยาย หลายอย่าง บนทางฝัน
เพลงร้องเรื่อย เอื่อยแผ่ว แว่วจำนรรจ์
กระซิบกัน สันต์อยู่ ไม่รู้คลาย

เนื้อบอกเล่า เรื่องใจ ใฝ่ลิขิต
ในนิมิต ติดตาม นิืยามฉาย
ที่แจ่มแจ้ง แจงจ่อ ทอประกาย
เป็นแสงฉาย ปลายหวัง ที่ยังรอ

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

~ ยิ่งหา ยิ่งหาย ~


ยิ่งคุ้ยค้น ป่นปี้ ไม่มีเห็น
เช้ายันเย็น เข็นเคี่ยว เที่ยวตามหา
แท้จ่อจู่ อยู่ใกล้ นัยนา
อนิจจา หากัน ไม่ทันเจอ

เฝ้าส่องเสาะ เลาะลัด สะพัดถิ่น
ที่ดวงจินต์ ผินพลัด ยังผลัดเผลอ
มิยอมดู อยู่ใกล้ จึงไม่เจอ
ที่ใดเออ..เธอค้น จนสิ้นลม ฯ

ผู้หา กลับหาย-ห่าง...ผู้วาง กลับพึง-พบ

~* ปุถุชนฯ *~

~ ย้ำรัก...ด้วยปักใจ ~

รักของเรา ใช่เล่น เป็นแค่ฝัน
ความสัมพันธ์ มั่นคง อย่าสงสัย
ทุกเรื่องราว กล่าวย้ำ ทำจากใจ
มิหวังใด ใหนเลย เพียงเชยชม

บุปผชาติ บอบช้ำ ยอมนำมอบ
ภมรปลอบ ด้วยหมาย จะคลายขม
เคล้าเกษร ร่อนริน ถวิลรมย์
ด่ำดอมดม ฉมรัก จึงจักเชย ฯ

~* ปุถุชนฯ *~

~ รักแท้..แม้ไม่มอง ~

เถิดดวงแรม แต้มยิ้ม ปริ่มปรีดา
หนาวน้ำตา มานาน มานหม่นหมอง
เจ็บนะใจ ใครนี้ ที่เฝ้ามอง
ตะโกนก้อง พ้องเพียง จะเมียงคืน

ร้าวรันทด อดสู ดูท้อแท้
ไยเอาแต่ รานรน จำทนฝืน
คนที่ปวด รวดใจ ใกล้ขวัญยืน
หมายหยิบยื่น มือป้อง ประคองกาย

~ คีรีบูน ~


คีรีบูน ช่างอาดูร และเปล่าดา
ถูกขังไว้ ในกรง คงโศกศัลย์
อาจร้องเพลง เพราะรื่น ในคืนวัน
แต่ทรวงนั้น กลั้นเหงา ใต้เงามัว

เคยเริงร่า บินร่าย ป่ายลมล้อ
ต้องทดท้อ ใต้เงา เศร้าสลัว
หรือใจเจ้า หวั่นหวาด ขยาดกลั
จึงหมองมัว ในกรง คงปลอดภัย

~ ดนตรี กวี ศิลป์ ~


อันดนตรี กวีศิลป์ จินตนา
ขอบเขตขัณ- ฑสีมา หาคั่นขวาง
อีกรักอัน ซึ้งอยู่ มิรู้จาง
หากจะร้าง เลยล้ำ ขอกล้ำกราย

ภาษาชาติ ชนเชื้อ เหลือจะกั้น
รักยังดั้น ปั้นปึง พึงเป้าหมา
เขตแดนใด ชายขอบ กอปรการณ์กลา
มิวางวาย ร่ำเรียก เพรียกกู่ม

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

~ เถาไพร ในป่าปูน ~


สองมือกุม จิกกำ ระส่ำสั่น
ยก,ยอ,กร ปิดกั้น เกินต้านไหว
เด็กหนุ่มน้อย เดินทาง จากบ้านไพร
สู่เมืองใหญ่ ถูกกุ้ม สุมรุมตี

ประสาตัว เปลี่ยวดาย ในป่าปูน

แสนอาดูร มัวหม่น จนหมดศรี
จากบ้านนา หากิน เลี้ยงชีวี
หวังชีพนี้ ต่อเกื้อ เอื้ออาทร

~ ชมนาง 1 ปฐมบทแห่งรสรัก ~

 
แล,ชม้าย ชายตา ที่ว่าหวาน
เห็นสะท้าน ทรวงซบ สุดหลบไหว
สายตาเจ้า เย้ายวน ป่วนฤทัย
ทำเอาชาย ส่ายสั่น สะท้านทรวง

ยามแย้มยิ้ม พริ้มพราย สุดฉายฉันท์

พิไลพักตร์ ลักษณ์นั้น ดังนางสรวง
ชายชมชิด พิสมัย หมายเคียงควง
พักตร์ดังดวง แห่งจันทร์ วันเต็มเพ็ญ

~ อธิษฐานใจ อธิษฐานรัก ~

 
ขอบนบาน ต่อเทพ ปวงเทวา
จึงตั้งจิต สัตยา อธิษฐาน
สักการะ น้อมนำ โหมคำกานท์
รำบายผ่าน ต่อฟ้า เทวาพรหม

แม้นอดีต ชาติเรา เคยเคล้าเคียง
ได้ร่วมเรียง เพียงอยู่ เป็นคู่สม
จึงดลใจ ให้เรา เฝ้าหมายชม
เพื่อภิรมย์ ชาตินี้ ที่เจอกัน

~ อรุณรำพึง ~

เจื้อยไก่แจ้ว แว่วขัน แข่งกันตื่
หลังค่ำคืน นอนพับ เหนื่อยหลับใหล
จิ้งหรีดหริ่ง ร้องพร้อม เห่กล่อมใจ
ฟ้าเริ่มใส ในวัน ผันทิวา

สงบเงียบ เชียบเย็น ไม่เข็ญจิต
ใจยังคิด คนึง รำพึงหา
มองฟ้าไกล ใสกว้าง ดวงดารา
เมฆก็ดับ ลับตา ให้อาลัย

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

~ เริงลาย สายศิลป์ ~


จิตรกร ระบายสวย ด้วยพู่กัน
กวีกลั่น ร่ายพจน์ สะกดส่ง
นักดนตรี ประเลง เพลงบรรจง
จึงสื่อส่ง สายศิลป์ จินตนา

ร้อยความคิด พินิจฝัน อันโชติช่วง
ประดับท่วง ชีวิน ถวิลหา
ในครรลอง ของตน บนศรัทธา
อันแรงกล้า ท้าท้อ ต่างต่อตี

~ วิญญาณ แห่งตัวตน ~


ด้วยรักใฝ่ ในกลอน จึงกรองกลั่น
ทุกถ้อยนั้น ปั้นจิต ลิขิตใส่
เติมวิญญาณ สานรัก ปักดวงใจ
เสริมเข้าไป ให้กล้ำ ณ คำกานท์

ด้วยกลิ่นอาย แห่งตนตัว ที่กลั้วเกลือก
ทางที่เลือก ก้าวย่าง ขีดสร้างสาน
ด้วยแน่นหนัก รักศิลป์ ทั้งวิญญาณ
จึงกรองกานท์ ผ่านคำ ที่รำพึง

~ โหมโรง เส้นทางกวี ~


ระหว่างทาง จากดิน บินสู่ดาว
กวีกล่าว ถ้อยคำ นำชีวิต
เรียนและรู้ พันผูก ทั้งถูกผิด
ในลิขิต ขีดจาร ตำนานคำ

น้ำตาทบ ซบซม จมหมองไหม้
ร่ำอาลัย ไห้โหย โรยถลำ
ล่วงลงสู่ หุบเหว เหลวระยำ
ที่จารคำ นำเอ่ย เผยความนัย

~ บูชาครู ~


บรมครู กลอนกานท์ สอนจารถ้อย
ที่เรียงร้อย สร้อยคำ มาย้ำขา
สดับซ่าน ผ่านซึ้ง ส่งถึงมาน
ทิวาวาร กาลเปลี่ยน เฝ้าเพียรปรือ

เสนาะโสต โอษฐ์เอ่ย รำเพยออก

เผยพจน์บอก ตอกหมาย เป็นลายสื
ขจรนาม งามไกล ให้ระบือ
จงเลื่องลือ ชื่อตน ดังมนตร์ตรา