วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

~ เสน่ห์นาง ~

เสน่หา ครานี้ ยากลี้ซ่อน
แรงอาวรณ์ ร้อนเร่า เร่งเร้าหา
จักน้าวโน้ม โจมจู่ สู่อุรา
ปรารถนา ปรารมภ์ จะชมเชย

ด้วยเนื้อนวล นิ่มนาง จาง,กระแจะ
ละมุนแตะ ไล้โลม โฉมผ่าเผย
ช่างรัญจวน ยวนเย้า กระเซ้าเปรย
ดังเอื้อนเอ่ย เกยซ้อน ฉะอ้อนมา


วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

~ กวีบทเก่า ~


ฟังสิเสียง หัวใจ ใครร่ำร้อง
ท่วงทำนอง เพลงเหงา ที่เล่าขาน
ถึงบทเก่า กล,กลอน กวีกานต์
เป็นตำนาน รักปอง ทั้งสองเรา

บทกวี บทเก่า เล่าความหมาย
รักมากมาย ลึกซึ้ง ถึงผ่านเศร้า
ขับกล่อมกาล ขานแว่ว เพียงแผ่วเบา
กระซิบเล่า เหงาเชียบ อย่างเงียบงัน

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

~ ให้เธอ ~


หากรักคือ..การให้ ใครกำหนด
หากรักคือ..ความสด ชื่นสุดใส
หากรักคือ..ฟ้ากว้าง กว่าดวงใจ
หากรักคือ..แรงไฟ เติมให้กัน

หากรักคือ..ปรายแสง แรงอบอุ่
หากรักคือ..การุญ หว่างเธอฉั
หากรักคือ..สองเรา เฝ้าสัมพันธ์
หากรักคือ..นิรันดร์ ฉันและเธอ

~ เพลงกานท์ แห่งกลอนห้า ~


ครวญครืน คลื่นเพลงคร่ำ
รำพัน ที่ฝันใฝ่
สรรค์สร้าง ด้วยหทัย
จึ่งตั้ง เป็นเพลงกานท์

ศึกษา มาจากหลาย
แปดลาย กลอนโบราณ
กาพย์ทวน ที่ครวญหวาน
โคลงสี่ ที่พึงยล

~ เพลงคลื่น ที่โถมทับ ~


กำศรวล ครวญเพลงคลื่น
ครืนครืน คำรามไหว
ดังก้อง มาแต่ไกล
ถาโถม เข้าโรมรัน

ต่างต่อ มิท้อถอย
คอยใจ จนไหวหวั่น
คลื่นซัด พัดคืนวัน
พังยับ ลงกับตา

~ กรุ่นนวล ~


กรุ่นนวล สิยวนเย้า
จึ่งคละเคล้า ปะยลเห็น
แลคล้าย ละม้ายเป็น
เทพีแถน ณ แดนสรวง

สบพักตร์ สิหักหวาม
รติงาม ณ ยามล่วง
หวิวหวั่น จะบั่นทรวง
ซบหักหาย ละลายลง

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

~ ฝุ่น ~


คงจะมี สักวัน ฝันสมจิต
รอชีวิต คิดหวัง ที่ยังฉาย
น้ำตานอง ร้องร่ำ พร่ำฟูมฟาย
บทสุดท้าย เพลงพราก ที่จากลา

แต่รักนั้น มั่นคง ไม่หลงทาง
จะปล่อยวาง อย่างไร จิตใฝ่หา
ขอสิ่งหนึ่ง ส่งผ่าน กาลเวลา
ตราบชั่วฟ้า ดินกลืน อย่าลืมกัน

แม้นชาตินี้ มีใจ ใฝ่สุขสม
ก็ภิรมย์ ชมเคียง แค่เพียงฝัน
จำต้องพราก จากไป ร้างไกลกัน
ดังสวรรค์ กลั่นแกล้ง ระแหงใจ

~* ปุถุชนฯ *~

~ ดอกแก้ว ~


บุปผชาติ ขาวสะอาด พิลาศสวย
หอมระรวย จรุงกรุ่น กลิ่นเกษร
นามดอกแก้ว อ่อนหวาน ปานบังอร
อรชร งามงด หมดจดนวล

ยามแย้มบาน โชยกลิ่น ประทิ่นหอม
แม้นดมดอม ดื่มด่ำ ดั่งฉ่ำสรว
เมื่อเมียงมอง ปองแก้ว แล้วรัญจวน
เจ้าขาวนวล เปล่งปลั่ง ทั้งอินทรีย์

~ พุทธ..ธรรม ~


ตั้งนะโม มโนพร้อม น้อมนำจิต
สงบเจียม เสงี่ยมพิศ พินิจหมาย
รุจีเรือง...เคืองขุ่น ความวุ่นวาย
ดับมลาย คลายสิ้น ด้วยยินดี

อะระหัง ตั้งมั่น ไม่สั่นคลอน
เป็นคำสอน องค์สัมมา นำพาหนี
ให้พ้นหลุด หยุดกิเลส เหตุอัปรีย์
หลงโลกีย์...ชี้ทาง สว่างเดิ

~ พระ ~


ความทรงจำ อำพราง อยู่ข้างจิต
อำมหิต ปลิดฆ่า ด้วยสาไถย
คนระยำ ทำชั่ว ไม่กลัวภัย
สาแก่ใจ ใครเล่า ที่เจ้าทำ

เพียงโลภหลง องค์พระ จะปกคุ้ม
เป็นเกราะกุม กั้นภัย ไยน่าขำ
แต่เกราะกุม คุ้มใจ ไยมิทำ
ให้พระนำ ทางพ้น จาก,วนเวียน

~ ซบแนบ..แทบลานดิน ~


ปลิดปลิว ลิ่วลอย เคว้งคว้าง
อ้างว้าง ห่างไกล ใฝ่หา
ซานซม ซบกาล เวลา
เหว่ว้า เวิ้งว้าง กลางไพร

ลอยลม พรมผ่าน รานร้าว
ร่วงกราว เทือกทิว ไสว
ซบแทบ แนบดิน กลิ่นไอ
แกว่งไกว ไหวแล้ว แจวจร

~ น้ำตา...น้ำใจ ~


อุทกหลั่ง ถั่งโถม..โครม...วินาศ
นภากาศ ปรวนแปร,กระแสสินธุ์
วาตภัย ไถลถล่ม จมธรณิน
ทุกข์ทั่วถิ่น เทวษซ้ำ จึงคร่ำครวญ

นองธารา ฟ้าร่ำ ระกำทั่ว
ร้าวระรัว โศกา พากำสรวล
ดังเคืองขุ่น กรุ่นกรึง ถมึงครวญ
จึงปั่นป่วน ซวนซม ถมโลกา